เบื้องหลังการออกแบบ ‘ชื่อกลิ่น’ ที่คนอยากซื้อโดยไม่เคยดม
ในยุคออนไลน์ที่ผู้บริโภคไม่สามารถดมกลิ่นก่อนซื้อ การขาย น้ำหอม ก็ยังเป็นไปได้ และหนึ่งในหัวใจของกลยุทธ์นั้นคือ ชื่อกลิ่น ที่ดึงดูดคนให้รู้สึกอยากครอบครองตั้งแต่ยังไม่รู้ว่ากลิ่นจริงเป็นอย่างไร
ลองคิดดูว่า ทำไมเราถึงอยากรู้ว่ากลิ่นของ Rain in Kyoto หรือ Sunday Kiss เป็นอย่างไร? เพราะคำเหล่านี้ปลุกอารมณ์ จินตนาการ และความทรงจำในทันที
ทำไมชื่อกลิ่นถึงสำคัญ
ชื่อคือประสบการณ์เสมือน: ลูกค้ามักตัดสินใจจากอารมณ์ และ ชื่อกลิ่น เปรียบเสมือนกลิ่นในเวอร์ชันข้อความ
กระตุ้นภาพในใจ: ชื่อที่ดีจะสร้างภาพในจินตนาการ เช่น Desert Moon อาจทำให้นึกถึงกลิ่นเย็นกลางคืนในทะเลทราย
สะท้อนแบรนด์และตัวตน: ชื่อกลิ่นคือการบอกเล่าคาแรคเตอร์ของแบรนด์ เช่น Glossier ใช้ชื่ออย่าง You ที่ชวนให้รู้สึกเป็นส่วนตัว
️เทคนิคการตั้งชื่อกลิ่นให้ปัง (โดยไม่ต้องโชว์โน้ตกลิ่น)
1. ใช้คำที่ปลุกอารมณ์ (Emotive Words)
เช่น Kiss, Whisper, Dream, Storm คำเหล่านี้สื่อถึงความรู้สึกมากกว่าความจริง
2. ตั้งชื่อตามสถานที่หรือช่วงเวลา (Place & Time Triggers)
เช่น Rain in Kyoto, 5PM in Paris, Midnight Garden ช่วยให้คนผูกความทรงจำเข้ากับกลิ่นได้ง่าย
3. เล่นกับภาพและบรรยากาศ (Visual Language)
เช่น Golden Dusk, Velvet Fog, Amber Smoke สร้างความรู้สึกผ่านภาพในหัว
4. สั้นและจำง่าย (Catchy & Minimal)
ชื่อควรไม่เกิน 23 คำ เพื่อให้จดจำง่าย และดูมีพลัง เช่น Blush, Muse, Afterglow
5. มีความเป็นเอกลักษณ์ (Originality)
หลีกเลี่ยงคำซ้ำๆ เช่น Rose, Fresh ลองผสมคำใหม่หรือใช้วลีเฉพาะตัว เช่น Moonmilk หรือ Sleep Theory
ตัวอย่างชื่อกลิ่น
เคล็ดลับด้านจิตวิทยา
o Priming Effect: การเห็นชื่อกลิ่นก่อนจะทำให้จิตใจ คาดหวัง กลิ่นแบบหนึ่ง และเมื่อได้กลิ่นจริง คนจะโน้มเอียงไปตามความคาดหวังนั้น
o Storytelling Through Names: การมีเรื่องราวเบื้องหลังชื่อ เช่น Smoke After Rain ที่สื่อถึงความรู้สึกหลังฝนตก ช่วยให้คนรู้สึกผูกพันกับกลิ่นมากขึ้น