ระดับความเข้มข้นของน้ำหอมมีกี่แบบ? เลือกยังไงให้เหมาะกับคุณ
เมื่อนึกถึงการเลือกน้ำหอม หลายคนมักโฟกัสที่ กลิ่น เป็นหลัก แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่ควรมองข้ามคือ ระดับความเข้มข้นของน้ำหอม เพราะมันคือปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อความติดทน และความกระจายกลิ่นของน้ำหอมโดยตรง การเข้าใจความแตกต่างนี้จะช่วยให้คุณเลือกน้ำหอมที่เหมาะกับสไตล์และการใช้งานของตัวเองได้ดียิ่งขึ้น
ระดับความเข้มข้นของน้ำหอม แบ่งออกเป็นกี่ประเภท?
น้ำหอมในท้องตลาดไม่ได้มีแค่กลิ่นต่างกัน แต่ยังต่างกันที่สัดส่วนของน้ำมันหอมระเหย (Essential Oil) ที่ผสมอยู่ ซึ่งสามารถแบ่งได้ดังนี้
1. Parfum (Perfume หรือ Extrait de Parfum)
ความเข้มข้นของน้ำมันหอมระเหย: 20-30%
ความติดทน: 8-12 ชั่วโมงขึ้นไป
เหมาะกับ: คนที่ชอบกลิ่นชัดเจน ติดทนยาวนาน ใช้ในโอกาสพิเศษหรือกลางคืน
2. Eau de Parfum (EDP)
ความเข้มข้นของน้ำมันหอมระเหย: 15-20%
ความติดทน: 6-8 ชั่วโมง
เหมาะกับ: ใช้ในชีวิตประจำวัน ทำงาน พบปะผู้คน มีกลิ่นที่ชัดแต่ไม่แรงเกินไป
3. Eau de Toilette (EDT)
ความเข้มข้นของน้ำมันหอมระเหย: 8-15%
ความติดทน: 4-6 ชั่วโมง
เหมาะกับ: ผู้ที่ชอบกลิ่นเบาสบาย ใช้ในช่วงกลางวันหรืออากาศร้อน
4. Eau de Cologne (EDC)
ความเข้มข้นของน้ำมันหอมระเหย: 2-5%
ความติดทน: 2-4 ชั่วโมง
เหมาะกับ: ใช้เติมระหว่างวัน ให้ความรู้สึกสดชื่น เหมาะกับอากาศอบอุ่น
5. Body Mist / Splash
ความเข้มข้นของน้ำมันหอมระเหย: ต่ำกว่า 2%
ความติดทน: 1-2 ชั่วโมง
เหมาะกับ: ใช้ฉีดเพิ่มความหอมแบบเบา ๆ หลังอาบน้ำ หรือก่อนนอน
วิธีเลือกความเข้มข้นของน้ำหอมให้เหมาะกับตัวเอง
- ต้องการความหอมชัดติดทนนาน เลือก Parfum หรือ EDP
- ใช้งานประจำวัน ไม่แรงเกินไป เลือก EDP หรือ EDT
- ต้องการความสดชื่น เติมความหอมระหว่างวัน เลือก EDC หรือ Body Mist
การเลือกน้ำหอมไม่ได้ขึ้นอยู่กับ กลิ่น เพียงอย่างเดียว แต่ระดับความเข้มข้นก็สำคัญไม่แพ้กัน เพราะจะเป็นตัวกำหนดทั้งความติดทน ความชัด และโอกาสที่เหมาะสมในการใช้ ดังนั้นก่อนเลือกซื้อน้ำหอมครั้งต่อไป อย่าลืมดูที่ระดับความเข้มข้นควบคู่ไปด้วย แล้วคุณจะได้น้ำหอมที่ ใช่ และตรงกับไลฟ์สไตล์มากที่สุดค่ะ