3 วิธีปรุงน้ำหอมยอดนิยม พร้อมสรุปข้อดี-ข้อเสีย
การปรุงน้ำหอม เป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ที่ต้องใช้ทั้งความรู้เชิงเคมีและจินตนาการในการสร้างกลิ่นที่มีเอกลักษณ์ ปัจจุบันมีวิธีการปรุงน้ำหอมหลายแบบ ซึ่งแต่ละวิธีจะส่งผลต่อคุณภาพ ความติดทนนาน และราคาของผลิตภัณฑ์
วิธีปรุงน้ำหอมมีกี่แบบ?
การปรุงน้ำหอม (Perfume Making Techniques) แบ่งได้ 3 วิธีหลัก ดังนี้
1. การปรุงแบบแอลกอฮอล์เบส (Alcohol-Based Perfume)
วิธีที่นิยมใช้มากที่สุดทั่วโลก
ใช้เอทานอลบริสุทธิ์เป็นตัวทำละลายผสมกับหัวน้ำมันหอม (Essential oil หรือ Fragrance oil)
นิยมใช้ใน Eau de Parfum (EdP), Eau de Toilette (EdT), Eau de Cologne (EdC)
กระจายกลิ่นดี กลิ่นฟุ้งไว และติดผิวได้ดี
ข้อดี: กลิ่นชัดเจน กระจายดี ใช้ง่าย
ข้อเสีย: อาจระคายเคืองสำหรับผิวแพ้ง่าย หากใช้แอลกอฮอล์คุณภาพต่ำ
2. การปรุงแบบออยล์เบส (Oil-Based Perfume)
เหมาะสำหรับคนแพ้ง่ายและต้องการกลิ่นติดผิวนาน
ใช้น้ำมัน (เช่น Jojoba oil, Fractionated Coconut Oil) เป็นเบส
กลิ่นจะไม่ฟุ้งมาก แต่เกาะผิวได้นาน ให้ความรู้สึกหรูหรา
เหมาะสำหรับน้ำหอมโรลออนหรือกลิ่นเฉพาะบุคคล (Personal Scents)
ข้อดี: ติดทนดีเยี่ยม ไม่ระเหยง่าย ไม่ระคายผิว
ข้อเสีย: กลิ่นฟุ้งน้อย ไม่เหมาะกับการฉีดพ่นกว้าง
3. การปรุงแบบโซลิด (Solid Perfume / Balm Perfume)
เทรนด์น้ำหอมพกพา สะดวก กลิ่นแนบชิดผิว
ใช้ขี้ผึ้งธรรมชาติ (Beeswax) ผสมกับน้ำมันและหัวน้ำหอม
บรรจุในตลับ พกพาง่าย ทาเฉพาะจุด
เป็นที่นิยมในกลุ่ม น้ำหอมออร์แกนิก หรือกลุ่มชอบกลิ่นเฉพาะตัว
ข้อดี: พกง่าย ปลอดแอลกอฮอล์ เหมาะกับผิวบอบบาง
ข้อเสีย: กลิ่นไม่ฟุ้ง และอาจละลายง่ายในอุณหภูมิสูง
แล้วแบบไหน ดีที่สุด หรือ คนนิยมที่สุด?
น้ำหอมแบบแอลกอฮอล์เบส (Alcohol-Based)
คือรูปแบบที่ คนนิยมใช้มากที่สุด เพราะให้กลิ่นฟุ้งกระจายดี ฉีดแล้วหอมทันที ใช้งานสะดวก เหมาะกับการทำตลาดในเชิงพาณิชย์
- นิยมในการผลิตน้ำหอมทั่วโลก
- รองรับการแบ่งระดับความเข้มข้นได้หลายแบบ (EDP, EDT, EDC)
- ใช้ได้ทั้งน้ำหอมติดผิวและน้ำหอมฉีดเสื้อหรือฉีดในอากาศ
ไม่ว่าคุณต้องการน้ำหอมแบบใด... ทีมผู้เชี่ยวชาญจาก THE KINGDOM SCENT พร้อมปรุงและพัฒนาสูตรเฉพาะให้ตรงกับแบรนด์และสไตล์ของคุณ